“รุ่ยลี่” ด่านชายแดนจีน-เมียนมา
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ปี 2562 การค้าของ “รุ่ยลี่” ด่านชายแดนจีน-เมียนมาที่ใหญ่ที่สุดเติบโตร้อยละ 14.5
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 ศุลกากรนครคุนหมิงได้เปิดเผยข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกผ่านด่านรุ่ยลี่ในปี 2562 ซึ่งเป็นด่านชายแดนทางบกที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนกับเมียนมามีมูลค่า 11,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.5
เมืองรุ่ยลี่ ตั้งอยู่ในเขตฯ เต๋อหง มณฑลยูนนาน มีพรมแดนติดกับเมียนมา เป็นเมืองชายแดนกลุ่มแรกของจีนที่เปิดกว้างสู่ภายนอกนับตั้งแต่จีนปฏิรูปและเปิดประเทศในปี 2521 โดยเมืองรุ่ยลี่ได้จัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจการค้าชายแดนเจี่ยเก้า” มีการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ภายใต้รูปแบบ “พื้นที่นอกด่านในดินแดนจีน” จนทำให้เมืองรุ่ยลี่เป็นเมืองการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนที่มีชื่อเสียงของจีน โดยด่านรุ่ยลี่เป็นด่านชายแดนระหว่างจีนกับเมียนมาที่มีปริมาณประชาชน ปริมาณสินค้า และปริมาณยานพาหนะเข้า-ออกมากที่สุด
ในปี 2562 ด่านรุ่ยลี่มีปริมาณสินค้าเข้า-ออก 17.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า และดอกไม้ สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเกษตร นอกจากนี้ ยังมีปริมาณประชาชนเข้า-ออก 16.7 ล้านคน และปริมาณพาหนะเข้า-ออก 4.8 ล้านคัน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ได้มีการเปิดตัวเขตการค้าเสรีนำร่องมณฑลยูนนาน พื้นที่เขตฯ เต๋อหง อย่างเป็นทางการ ภายใต้สถานการณ์ที่ปริมาณสินค้าและประชาชนผ่านเข้า-ออกพื้นที่ชายแดนเพิ่มสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งแนวโน้มใหม่ของการส่งเสริมการเปิดกว้างเชิงลึกและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ด่านรุ่ยลี่จำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการ โดยการนำนวัตกรรมใหม่เสริมการบริการ และลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนของมณฑลยูนนาน
นอกจากด่านรุ่ยลี่แล้ว ด่านอื่นของมณฑลยูนนานที่เชื่อมกับเมียนมาก็ล้วนมีการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ด่านเหมิ้งติ้ง มีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก 5,241 ล้านหยวน ทะลุหลัก 5,000 ล้านหยวนเป็นครั้งแรก ด่านเถิงชงมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 80 และด่านเหมิ้งเหลียนมีปริมาณการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 90
“เชียงราย” เตรียมเชื่อมค้า “ด่านรุ่ยลี่” ทึ่งมูลค่า 3.5 แสนล้านหยวน

หอการค้าเชียงราย ลงพื้นที่เขตปกครองตนเองชนชาติไต-จิ่งโป ถึงกับ ตะลึงพบข้อมูลด่านเมืองรุ่ยลี่มีมูลค่าการค้าสูงปีละ 3.5 แสนล้านหยวน สูงกว่าด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก 5 เท่า สินค้าสำคัญ อาทิ เกษตร ไม้ อัญมณี ด้านจีนให้ความสำคัญตัดถนน สร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม พร้อมลงทุนหลายโครงการ ขณะที่หอค้าเชียงรายเตรียมหาช่องเชื่อมการค้าหวังเพิ่มมูลค่าค้าชายแดน
น.ส.ผกายมาศ เวียร์ร่า รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า วันชาติจีนที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ตนได้รับเชิญไปร่วมกิจกรรมวันชาติจีนที่เมืองรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองชนชาติไต-จิ่งโป จ.เต๋อหง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นเมืองด่านเชื่อมกับเมืองมูเซ จ.ลาเชียว รัฐฉานตอนเหนือของประเทศเมียนมา โดยเดินทางไปพร้อมกับนายเทวัญ ธนมาลารัตน์ เกษตรและสหกรณ์ จ.เชียงราย ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ พบว่าด่านมูเซ-รุ่ยลี่ แม้จะเป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 2 ของเมียนมา (แห่งที่ 1 คือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เชื่อมกับ จ.ท่าขี้เหล็ก)
แต่ข้อมูลจากนายหวัง จุ้น เฉียง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ จ.เต๋อหง รวมทั้งภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ของจีน พบว่าด่านการค้าระหว่างเมืองรุ่ยลี่กับเมืองมูเซมีมูลค่าปีละกว่า 350,000 ล้านหยวน ซึ่งมากที่สุดในบรรดาด่านการค้าของมณฑลยูนนาน และมากกว่ามูลค่าการค้าชายแดนระหว่างแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ถึง 5 เท่าตัวโดยการค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเกษตร ไม้ อัญมณี เป็นต้น
ส่วนคนเข้าออกพบว่ามีปีละกว่า 16 ล้านคน เป็นข้อมูลที่น่าสนใจว่าหากมีการเชื่อมการค้าที่ด่านนี้กับ จ.เชียงราย ได้ช่องทางนี้จะกลายเป็นที่ระบายสินค้าไทยที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่ง
ทั้งนี้ ตรงด่านรุ่ยลี่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเต๋อหงประมาณ 93 กิโลเมตร โดยเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจเจียเก๋าติดกับด่านมูเซของเมียนมา เปิดช่วงเช้า และปิดเวลา 21.30 น. ตามเวลาในเมียนมา ซึ่งช้ากว่าจีน 1.30 ชั่วโมง โดยเป็นเขตปลอดภาษี ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้า และจำหน่ายสินค้าโดยเฉพาะอัญมณีจำนวนมาก
ปัจจุบันรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับด่านแห่งนี้มาก จึงมีการสร้างถนนและรถไฟความเร็วสูงไปถึง รวมทั้งมีการสร้างท่อก๊าซ-น้ำมันเชื้อเพลิง แหล่งอุตสาหกรรมหนักเพื่อเชื่อมการค้ากับประเทศเมียนมา-มหาสมุทรอินเดีย ส่วนในเขตเมืองมูเซของประเทศเมียนมาห่างจากด่านมูเซ-รุ่ยลี่ ประมาณ 18 กิโลเมตร ทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าชายแดนที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา ใช้ชื่อว่า 105 mailes ที่ใช้รองรับการขนส่งสินค้าเมียนมา-จีนด้วย ขณะเดียวกันพื้นที่ชายแดนดังกล่าวมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อยู่หลากหลายกลุ่ม ซึ่งในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทางเมืองรุ่ยลี่ให้ความสำคัญเชิญไปร่วมงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“ในปัจจุบันพบว่านอกจากการพัฒนาด้านต่าง ๆ แล้ว ทราบว่าได้มีโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์รายใหญ่จากเมืองปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เริ่มเข้าไปตั้งกิจการที่ชายแดนแห่งนี้แล้ว และยังมีการพัฒนาตลาดอัญมณีจากระดับท้องถิ่นให้เป็นตลาดแหล่งใหญ่ หลังจากเอกชนจีนได้รับสัมปทานเหมืองแร่ในมงก๊กของเมียนมา ทำให้ในเขตเศรษฐกิจเจียเก๋ามีร้านค้าอัญมณี โดยเฉพาะประเภทหยกมากถึงกว่า 2,000 ร้าน โดยเปิดบริการตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว” น.ส.ผกายมาศกล่าว
น.ส.ผกายมาศกล่าวอีกว่า ด้าน จ.ลาเชียว ประเทศเมียนมา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองตองจีซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐฉานที่อยู่ทางใต้ของรัฐประมาณ 367.1 กิโลเมตร และจากเมืองตองจีสามารถเชื่อมไปยังเมืองเชียงตุงด้วยระยะทาง 423.2 กิโลเมตร โดยเมืองเชียงตุงบนถนนอาร์สามบีที่เชื่อม อ.แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง ห่างจาก อ.แม่สาย เพียงประมาณ 155 กิโลเมตร ซึ่งหากมองในแง่ของเส้นทางแล้วถือว่าไม่ห่างไกลกันมากนัก
อย่างไรก็ตาม พบว่าในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์ด้านการค้าระหว่างไทย-รัฐฉาน-รุ่ยลี่ น้อยมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ
“ดิฉันจะนำข้อมูลมาศึกษาและหารือทั้งในหอการค้าและภาครัฐ เพื่อหาแนวทางเชื่อมความสัมพันธ์กับเขตการค้ารุ่ยลี่-มูเซ ล่าสุดได้พบกับนายต่ง เลอ ฉั่น เจ้าของโรงแรมในมณฑลยูนนาน และยังเป็นเจ้าของสายการบินรุ่ยลี่ แอร์ไลน์ ที่มีแอร์บัส 737 มากถึง 15 ลำ ทราบว่ากำลังมีแผนจะเปิดเส้นทางการบินมาประเทศไทยทั้งที่กรุงเทพฯ และ จ.เชียงใหม่ เชียงราย รวมไปถึงประเทศกัมพูชา ซึ่งก็จะได้เชิญมาพบปะสร้างความสัมพันธ์และหารือทางธุรกิจที่ จ.เชียงราย ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป” น.ส.ผกายมาศกล่าว
https://www.prachachat.net/local-economy/news-54209
https://www.prachachat.net/local-economy/news-54209
นครรุ่ยลี่ (เมืองมาว) : Ruili City เขตปกครองคนเองชนชาติไท และ จิ่งพัว เต่อหง (ใต้คง) มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน.
1. นครรุ่ยลี่ (เมืองมาว) : Ruili City เขตปกครองคนเองชนชาติไท และ จิ่งพัว เต่อหง (ใต้คง)
มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน.
แปลโดย Google แปลภาษา From Wikipedia, the free encyclopedia
นครรุ่ยลี่ (เมืองมาว) : (Ruili City) เขตปกครองคนเองชนชาติไท และ จิ่งพัว เต่อหง (ใต้คง) มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน. เป็นเมืองระดับมณฑลของ Dehong จังหวัดทางตะวันตกของจังหวัดยูนนานสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพรมแดนระหว่างประเทศจีนและพม่าโดยมีเมือง Muse ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ที่มาของชื่อ
瑞ruìหมายถึง "มงคล" และ丽lìหมายถึง "สวย"; ชื่อเก่าของ Ruili คือMěngmǎo (勐卯)
ชื่อเดิมของนครรุ่ยลี่ คือ เมืองมาว (Mengmao) หมายถึง เมืองแห่งความเป็นศิริมงคลที่สวยงาม
ภูมิศาสตร์
Ruili อยู่ติดกับพม่า 64% ของประชากรของ Ruili เป็นสมาชิกของชนเผ่าภูเขาสูงและที่ราบลึ่ม ได้แก่ชาว Dai, Jingpo, Deang, Lisu, Achang เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการค้ากับพม่าทั้งในสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โสเภณีและการค้ายาเสพติดในเมืองแดนไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ.
Ruili มีสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อบอุ่น และโดยทั่วไปจะมีอากาศชื้น ฤดูร้อนยาวและแทบไม่มี "ฤดูหนาว" เช่น; มีฤดูแล้ง (ธันวาคมถึงเมษายน) และฤดูฝน (พฤษภาคมถึงตุลาคม) ความร้อนแห้งจะมีขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนพฤษภาคมก่อนที่จะมีการมรสุมจากมหาสมุทรอินเดีย อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน 24 ชั่วโมงมีตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 25.5 ° C (77.6 ° F) ในเดือนมิถุนายนขณะที่ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 21.6 องศาเซลเซียส (70.9 องศาฟาเรนไฮด์) ปริมาณน้ำฝนรวมประมาณ 1,450 มิลลิเมตร (57 นิ้วต่อปี) โดยเกือบ 70% เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน
ประชากร
ชาวฮันจีนและชาวไต ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในในเมือง ชาว Jingpo และ Deang ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองในบริเวณโดยรอบ
สวนอุตสาหกรรม
การคมนาคม (การเดินทางและขนส่ง)
รถไฟต้าหลี่ - รูลี่ซึ่งจะเชื่อมต่อ Ruili กับเครือข่ายทางรถไฟของประเทศจีนอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.
2.1
2.2
2.3
2.4
2.5
มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน.
Ruili City, Yunnan, China Taken with Nikon D40X
นครรุ่ยลี่ (เมืองมาว) : (Ruili City) เขตปกครองคนเองชนชาติไท และ จิ่งพัว เต่อหง (ใต้คง) มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน. เป็นเมืองระดับมณฑลของ Dehong จังหวัดทางตะวันตกของจังหวัดยูนนานสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพรมแดนระหว่างประเทศจีนและพม่าโดยมีเมือง Muse ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ที่มาของชื่อ
瑞ruìหมายถึง "มงคล" และ丽lìหมายถึง "สวย"; ชื่อเก่าของ Ruili คือMěngmǎo (勐卯)
ชื่อเดิมของนครรุ่ยลี่ คือ เมืองมาว (Mengmao) หมายถึง เมืองแห่งความเป็นศิริมงคลที่สวยงาม
ภูมิศาสตร์
Ruili อยู่ติดกับพม่า 64% ของประชากรของ Ruili เป็นสมาชิกของชนเผ่าภูเขาสูงและที่ราบลึ่ม ได้แก่ชาว Dai, Jingpo, Deang, Lisu, Achang เป็นสถานที่สำคัญสำหรับการค้ากับพม่าทั้งในสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โสเภณีและการค้ายาเสพติดในเมืองแดนไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ.
Ruili มีสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อบอุ่น และโดยทั่วไปจะมีอากาศชื้น ฤดูร้อนยาวและแทบไม่มี "ฤดูหนาว" เช่น; มีฤดูแล้ง (ธันวาคมถึงเมษายน) และฤดูฝน (พฤษภาคมถึงตุลาคม) ความร้อนแห้งจะมีขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนพฤษภาคมก่อนที่จะมีการมรสุมจากมหาสมุทรอินเดีย อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน 24 ชั่วโมงมีตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 25.5 ° C (77.6 ° F) ในเดือนมิถุนายนขณะที่ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 21.6 องศาเซลเซียส (70.9 องศาฟาเรนไฮด์) ปริมาณน้ำฝนรวมประมาณ 1,450 มิลลิเมตร (57 นิ้วต่อปี) โดยเกือบ 70% เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน
ประชากร
ชาวฮันจีนและชาวไต ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในในเมือง ชาว Jingpo และ Deang ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองในบริเวณโดยรอบ
สวนอุตสาหกรรม
โซนความร่วมมือทางเศรษฐกิจชายแดน (WTBECZ) เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติจากสภาอุตสาหกรรมแห่งรัฐของจีนซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Wanding เมือง Ruili ก่อตั้งขึ้นในปีพ. ศ. 2535 และก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับพม่า เขตนี้ครอบคลุมพื้นที่ 6 ตารางกิโลเมตร (2.3 ตารางไมล์) และมุ่งเน้นการพัฒนาการค้าการแปรรูปทรัพยากรทางการเกษตรและการท่องเที่ยว
เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ Ruili (RLBECZ) เป็นสวนอุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรของจีนซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Ruili ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 และก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับพม่า การค้านำเข้าและส่งออกของพื้นที่รวมถึงอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรท้องถิ่นและทรัพยากรชีวภาพมีแนวโน้มมาก ธุรกิจของจีน - พม่ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว พม่าเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนการค้าต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของยูนนาน ในปี 2542 การค้าระหว่างประเทศของมณฑลยูนนานคิดเป็น 77.4% ของการค้าระหว่างประเทศของยูนนาน ในปีเดียวกันนั้นการส่งออกอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 55.28 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกหลักที่นี่รวมถึงผ้าใยฝ้ายเส้นด้ายขี้ผึ้ง ceresin อุปกรณ์เครื่องจักรกลผลไม้เมล็ดข้าวเส้นใยเส้นด้ายและยาสูบ
การคมนาคม (การเดินทางและขนส่ง)
รถไฟต้าหลี่ - รูลี่ซึ่งจะเชื่อมต่อ Ruili กับเครือข่ายทางรถไฟของประเทศจีนอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.
2.1
2.2
2.3
2.4
2.5
การค้าของด่านชายแดนจีน-เมียนมา “รุ่ยลี่” เติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2562
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 ศุลกากรนครคุนหมิงได้เปิดเผยข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกผ่านด่านรุ่ยลี่ในปี 2562 ซึ่งเป็นด่านชายแดนทางบกที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนกับเมียนมามีมูลค่า 11,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.5
เมืองรุ่ยลี่ ตั้งอยู่ในเขตฯ เต๋อหง มณฑลยูนนาน มีพรมแดนติดกับเมียนมา เป็นเมืองชายแดนกลุ่มแรกของจีนที่เปิดกว้างสู่ภายนอกนับตั้งแต่จีนปฏิรูปและเปิดประเทศในปี 2521 โดยเมืองรุ่ยลี่ได้จัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจการค้าชายแดนเจี่ยเก้า” มีการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ภายใต้รูปแบบ “พื้นที่นอกด่านในดินแดนจีน” จนทำให้เมืองรุ่ยลี่เป็นเมืองการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนที่มีชื่อเสียงของจีน โดยด่านรุ่ยลี่เป็นด่านชายแดนระหว่างจีนกับเมียนมาที่มีปริมาณประชาชน ปริมาณสินค้า และปริมาณยานพาหนะเข้า-ออกมากที่สุด
ในปี 2562 ด่านรุ่ยลี่มีปริมาณสินค้าเข้า-ออก 17.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า และดอกไม้ สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเกษตร นอกจากนี้ ยังมีปริมาณประชาชนเข้า-ออก 16.7 ล้านคน และปริมาณพาหนะเข้า-ออก 4.8 ล้านคัน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ได้มีการเปิดตัวเขตการค้าเสรีนำร่องมณฑลยูนนาน พื้นที่เขตฯ เต๋อหง อย่างเป็นทางการ ภายใต้สถานการณ์ที่ปริมาณสินค้าและประชาชนผ่านเข้า-ออกพื้นที่ชายแดนเพิ่มสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งแนวโน้มใหม่ของการส่งเสริมการเปิดกว้างเชิงลึกและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ด่านรุ่ยลี่จำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการ โดยการนำนวัตกรรมใหม่เสริมการบริการ และลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนของมณฑลยูนนาน
นอกจากด่านรุ่ยลี่แล้ว ด่านอื่นของมณฑลยูนนานที่เชื่อมกับเมียนมาก็ล้วนมีการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ด่านเหมิ้งติ้ง มีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก 5,241 ล้านหยวน ทะลุหลัก 5,000 ล้านหยวนเป็นครั้งแรก ด่านเถิงชงมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 80 และด่านเหมิ้งเหลียนมีปริมาณการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 90
สยายปีกข้ามฝั่งน้ำ : วิถีการค้ายูนนาน-เมียนมา : Spirit of Asia (17 ก.พ.62)
เงื้อมมือของธรรมชาติไม่อาจขวางกั้นความพยายามเชื่อมต่อโลกทั้งใบของจีน ทัศนะการมองโลกดลบันดาลให้ปีกของมังกรจีนตัวนี้สยายปกคลุมภูมิภาคอาเซียน ร่มเงาเศรษฐกิจแผ่ข้ามฝั่ง "แม่น้ำรุ่ยลี่" พรมแดนธรรมชาติกลายเป็นชีพจรหล่อเลี้ยงชีวิตคนสองฟากฝั่ง
เขตการค้าชายแดนเจี่ยเก้าในนครรุ่ยลี่เคยเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร แต่ในปัจจุบันที่แห่งนี้ได้กลายเป็นหัวใจสูบฉีดเม็ดเงินหล่อเลี้ยงมณฑลยูนนาน และดินแดนข้างเคียงสร้างมูลค่าหลายแสนล้านหยวนต่อปี นอกจากเป็นเขตการค้ามากบทบาท ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีคู่วัฒนธรรมจีนอย่าง "หยก" ผู้คนหลั่งไหลเดินทางมาที่ตลาดพนันหินหยกเต๋อหลง เพื่อสาดแสงไฟส่องเลือกซื้ออัญมณีที่พรางตัวอยู่ในคราบก้อนหินหน้าตาธรรมดาสามัญ
ร่วมเดินทางไปตามชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษในเส้นทางเชื่อมจีน-เมียนมา สำรวจสีสันระหว่างทางและบรรยากาศการค้าแห่งนครรุ่ยลี่ได้ในรายการ Spirit of Asia ตอน สยายปีกข้ามฝั่งน้ำ: วิถีการค้ายูนนาน-เมียนมา วันอาทิตย์ที่ 17 ก.พ. 62 เวลา 16.30 น. รับชมออนไลน์ทาง http://www.thaipbs.or.th/SpiritofAsia
ชนชาติไทใหญ่ หนึ่งในบรรดาชาติพันธุ์โบราณที่อาศัยอยู่ดินแดนสุวรรณภูมิ พวกเขามีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของตัวเองมายาวนานนับพันปี รัฐฉานแห่งประเทศเมียนมาเป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทใหญ่ที่มีหลายสาขาตามถิ่นที่อยู่ของตน โดยชาวไทมาวและไทแสนหวี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ยุคแรก ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมยุคสมัยเดียวกับบรรดาอาณาจักรก่อนจะเป็นล้านนา พวกเขายังคงส่งต่อวัฒนธรรมและความภูมิใจในชาติพันธุ์ของตัวเองมาสู่คนรุ่นลูกหลานมาได้อย่างมั่นคง
Spirit of Asia ในสัปดาห์นี้ เปิดหน้าประวัติศาสตร์คนไทใหญ่ในดินแดนเมืองแจ่ล่าน นครรัฐโบราณของชาวไทมาวทางตอนเหนือของรัฐฉานที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศจีน เพื่อนำเสนอร่องรอยโบราณสถานวิถีชีวิต และงานบุญประเพณีของคนไทมาว ชาติพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างมหาอาณาจักรคนไทใหญ่เป็นแห่งแรก และเดินทางไปยังเมืองแสนหวี เมืองซึ่งเคยเป็นที่ตั้งนครรัฐโบราณของชาวไทใหญ่อันรุ่งเรืองต่อมาจากเมืองแจ่ล่าน ที่ยังปรากฎร่องรอยทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตแบบคนไทใหญ่ในแสนหวีที่ยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ติดตามชมรายการ Spirit of Asia ตอน ไทมาว – แสนหวี ปฐมบทไทใหญ่แห่งรัฐฉาน วันอาทิตย์ที่ 17 มี.ค. 62 เวลา 16.30 น. รับชมย้อนหลังทาง http://www.thaipbs.or.th/SpiritofAsia
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ เป็นวันชาติรัฐฉาน ซึ่งวันนี้ในปีพุทธศักราช 2490.. 5 วัน ก่อนการลงนามในสัญญาปางโหลง เจ้าฟ้าและประชาชนในรัฐฉาน ได้ร่วมกันประกาศเอกราชจากอังกฤษ พร้อมสถาปนาธงชาติของรัฐฉาน
ปัจจุบันกองทัพรัฐฉาน ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึก จะมีการจัดงานวันชาติขึ้นทุกปี โดยปีนี้ทีมงานส่องโลกได้มาร่วมสังเกตการณ์ที่ดอยก่อวัน หนึ่งในฐานที่มั่นของกองทัพไทยใหญ่ ซึ่งมีเจ้าก้อนจื้น เป็นผู้บัญชาการ

ไทมาว – แสนหวี ปฐมบทไทใหญ่แห่งรัฐฉาน : Spirit of Asia (17 มี.ค. 62)
ส่องโลก ตอน วันชาติรัฐฉาน บนดอยก่อวัน (ออกอากาศ 21 ก.ค. 2562)
ตามสังเกตการณ์รถไฟระหว่างประเทศในยูนนาน

แผนพัฒนาการรถไฟของมณฑลยูนนานมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาระบบเครือข่ายขนส่งเส้นทางรถไฟให้ทันสมัย และยกระดับศักยภาพการขนส่งทางรถไฟเชื่อมโยงมณฑลรอบข้าง เพื่อเป็นประตูเปิดไปสู่นานาชาติของภาคตะวันตกของจีน และเพื่อเชื่อมโยงให้เข้ากับเครือข่ายระบบการขนส่งทางรถไฟในประเทศ และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศอย่างมาก การศึกษาเส้นทางคมนาคมระบบรางเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านของยูนนาน น่าจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการเดินทางและขนส่งสินค้าสู่มณฑลตอนในของจีนผ่านยูนนาน โดยเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศจำนวน 4 สายที่เชื่อมไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ผ่านยูนนาน ได้แก่ เส้นทางรถไฟแพนเอเชีย (Pan-Asian Railway) จีน-เวียดนาม จีน-ลาว จีน-พม่า และจีน-พม่า-อินเดีย 1 โดยในบทความนี้จะขอกล่าวเพียง 3 เส้นแรก เนื่องจากรถไฟจีน-เวียดนาม จีน-ลาว และจีน-พม่าดังกล่าวจะพาดผ่านเข้าสู่ประเทศไทยไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์
[1]เส้นทางรถไฟจีน-พม่า-อินเดีย นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่มีความสำคัญระหว่างประเทศที่เชื่อมจากยูนนานสู่เอเชียใต้ คาดว่าจะเป็นเส้นทางคู่ขนานกับเส้นทางท่อส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจีน – พม่า โดยเริ่มต้นที่คุนหมิง – รุ่ยลี่ – เมืองลาโช (Lashio) – มัณฑะเลย์ – เขตมาเกว (Magway) – ท่าเรือเจียวเพียว – บังคลาเทศ - อินเดีย ซึ่งเส้นทางจากพม่า – บังกลาเทศ – อินเดีย ยังอยู่ระหว่างการเจรจา
เส้นทางรถไฟแพนเอเชียจากยูนนานสู่ไทยมี 3 เส้นทางสำคัญ
อันที่จริงแล้ว เส้นทางรถไฟแพนเอเชียนั้นมีประวัติศาสตร์มานมนานราว 50 ปี (เริ่มตั้งแต่ปี 2503) และเพิ่งได้ลงนามความร่วมมือในทวีปเอเชียอย่างเป็นทางการตาม “ข้อตกลงระหว่างภาครัฐของเครือข่ายรถไฟทวีปเอเชีย” จากตัวแทนทวีปเอเชีย 18 ประเทศเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ณ เมืองพูซาน เกาหลีใต้ โดยเส้นทางรถไฟแพนเอเชียนั้นประกอบด้วย 3 เส้นทาง ซึ่งเส้นทางรถไฟแพนเอเชียจากยูนนานสู่ไทยถือเป็น 1 ใน 3 เส้นทาง 2 เส้นทางสายแพนเอเชียผ่านยูนนานสู่ไทยทั้ง 3 เส้นทางนับเป็นหนึ่งในแผนงานโลจิสติกส์ที่มณฑลยูนนานพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อเชื่อมโยงระบบเครือข่ายทางรถไฟให้สามารถเดินทางจากจีน-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ ดังนี้
[2]
เส้นทางรถไฟแพนเอเชีย มี 3 เส้นทาง คือ
1.เส้นทางเชื่อมยุโรปและมหาสมุทรแปซิฟิก พาดผ่านจากเยอรมัน – โปแลนด์ – เบลารุส – รัสเซีย - คาซัคสถาน – มองโกเลีย – จีน – คาบสมุทรเกาหลี
2.เส้นทางเชื่อมยุโรปเหนือและอ่าวเปอร์เซีย แบ่งเป็น 3 สาย คือ
2.1 สายตะวันออก จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – คาซัคสถาน – อุสเบกิสถาน – เติร์กเมนิสถาน –อิหร่าน
2.2 สายกลาง จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – อิหร่าน
2.3 สายตะวันตก จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – อาเซอร์ไบจาน – อาร์เมเนีย – อิหร่าน
3. เชื่อมยุโรปและอาเซียน จากตุรกี – อิหร่าน - ปากีสถาน - อินเดีย - บังคลาเทศ - พม่า – ไทย – จีน โดยแบ่งเป็น 3 สาย
3.1 สายตะวันออก จากคุนหมิง – ฮานอย – โฮจิมินท์ – พนมเปญ – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์
3.2 สายกลาง จากคุนหมิง – เวียงจันทร์ – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ – สิงคโปร์
3.3 สายตะวันตก จากคุนหมิง – รุ่ยลี่ – ย่างกุ้ง – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ – สิงคโปร์
เส้นทางรถไฟแพนเอเชีย มี 3 เส้นทาง คือ
1.เส้นทางเชื่อมยุโรปและมหาสมุทรแปซิฟิก พาดผ่านจากเยอรมัน – โปแลนด์ – เบลารุส – รัสเซีย - คาซัคสถาน – มองโกเลีย – จีน – คาบสมุทรเกาหลี
2.เส้นทางเชื่อมยุโรปเหนือและอ่าวเปอร์เซีย แบ่งเป็น 3 สาย คือ
2.1 สายตะวันออก จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – คาซัคสถาน – อุสเบกิสถาน – เติร์กเมนิสถาน –อิหร่าน
2.2 สายกลาง จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – อิหร่าน
2.3 สายตะวันตก จากฟินแลนด์ – รัสเซีย – ทะเลสาบแคสเปียน – อาเซอร์ไบจาน – อาร์เมเนีย – อิหร่าน
3. เชื่อมยุโรปและอาเซียน จากตุรกี – อิหร่าน - ปากีสถาน - อินเดีย - บังคลาเทศ - พม่า – ไทย – จีน โดยแบ่งเป็น 3 สาย
3.1 สายตะวันออก จากคุนหมิง – ฮานอย – โฮจิมินท์ – พนมเปญ – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์
3.2 สายกลาง จากคุนหมิง – เวียงจันทร์ – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ – สิงคโปร์
3.3 สายตะวันตก จากคุนหมิง – รุ่ยลี่ – ย่างกุ้ง – กรุงเทพ – กัวลาลัมเปอร์ – สิงคโปร์
1.) เส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายตะวันออก (คุนหมิง – ยวี่ซี – เหมิงจื้อ – เหอโข่ว – เวียดนาม – กัมพูชา – ไทย – สิงคโปร์) รวมระยะทาง 5,500 ก.ม. ถูกออกแบบให้สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วเฉลี่ยที่ 120 – 200 กม./ชม. สามารถรองรับการขนส่งสินค้าได้ปีละ 10 ล้านตัน เส้นทางในยูนนานมีรายละเอียดดังนี้
เส้นทาง
|
ระยะทาง
(กิโลเมตร)
|
เริ่มก่อสร้าง
|
คาดว่าสร้างเสร็จ
|
งบประมาณ
(ล้านหยวน)
|
คุนหมิง – ยวี่ซี |
110
|
2552
|
(สร้างเสร็จแล้วราวร้อยละ 35)
|
5,155
|
ยวี่ซี – เหมิงจื้อ |
141
|
2548
|
สิ้นปี 2555 และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ 23 ก.พ. 2556
|
4,790
|
เหมิงจื้อ - เหอโข่ว |
141
|
ก.ค. 2552
|
ก.ย. 2557
|
6,930
|
2.) เส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายกลาง (คุนหมิง - ยวี่ซี – บ่อหาน – ลาว – ไทย – มาเลเซีย - สิงคโปร์) รวมระยะทาง 4,500 ก.ม. โดยเส้นทางในยูนนานมีรายละเอียดดังนี้
เส้นทาง
|
ระยะทาง
(กิโลเมตร)
|
เริ่มก่อสร้าง
|
คาดว่าสร้างเสร็จ
|
งบประมาณ
(ล้านหยวน)
|
คุนหมิง – ยวี่ซี |
110
|
2552
|
(สร้างเสร็จแล้วราวร้อยละ 35)
|
5,155
|
ยวี่ซี – บ่อหาน |
488
| อยู่ระหว่างการดำเนินงานในช่วงแรก โดยได้รับการบรรจุเข้าสู่แผนระยะกลางและระยะยาวการพัฒนาเส้นทางรถไฟของรัฐบาลกลาง |
53,900
|
สำหรับเส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายกลางช่วงเส้นทางที่อยู่ในพื้นที่ของลาวนั้น กระทรวงการรถไฟแห่งชาติจีนกับกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งประเทศลาวได้ร่วมกันลงนาม “บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเส้นทางรถไฟ” แล้วเมื่อเดือน เม.ย.2553 โดยโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟบ่อหาน – เวียงจันทน์ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้วในเดือน พ.ย. 2553 ทั้งนี้ บจก.การลงทุนแพนเอเชียเซียวเซียงมณฑลยูนนาน(云南潇湘泛亚投资有限公司)มีสิทธิการลงทุนและการบริหารของเส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายกลางช่วงเส้นทางที่อยู่ในพื้นที่ของลาว
นอกจากนี้ บริเวณชายแดนบ่อหาน (ชายแดนจีน-ลาว) ยังได้มีการก่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์นานาชาติบ่อหาน (磨憨国际物流中心) และศูนย์โลจิสติกส์ระบบรางบ่อหาน (磨憨铁路物流中心) โดยศูนย์โลจิสติกส์นานาชาติบ่อหานเป็นโครงการดึงดูดการลงทุนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจบ่อหาน เพื่อรองรับด้านการขนส่งสินค้า โลจิสติกส์และการนำเข้าส่งออกของด่านบ่อหาน มีมูลค่าการลงทุน 110 ล้านหยวน แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ โดยศูนย์ดังกล่าวจะติดตั้งกล้องวงจรปิดและเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกับศุลกากร ซึ่งศุลกากรสามารถตรวจสอบจากหน้าจอ (monitor and control) ได้ตลอด 24 ชม.
เฟสแรกเริ่มการก่อสร้างเมื่อปี 2551 มีพื้นที่ 106 หมู่ (44.17 ไร่) มูลค่าการลงทุนกว่า 70 ล้านหยวน ปัจจุบัน การก่อสร้างได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งประกอบด้วย สำนักงาน ที่พักอาศัย ตึกสันทนาการ โกดังสินค้าขนาดกว่า 10,000 ตร.ม. ลานกว้างขนาดกว่า 30,000 ตร.ม. ห้องเย็นขนาด 3600 ลบ.ม. อาคารรมควันขนาด 3000 ตร.ม. และมีช่องรมควันสำหรับ Freezer containers ผลไม้ พืชผักและดอกไม้ 100 ช่องทาง ทำให้การบริการของเขตพัฒนาเศรษฐกิจบ่อหานมีความครบถ้วน และสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้มากขึ้น
ศูนย์โลจิสติกส์ระบบรางบ่อหาน ได้เริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2552 โดยจะให้บริการด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและเขตสินค้าทัณฑ์บนเป็นหลัก ประกอบด้วย เขตดำเนินงานเส้นทางรถไฟ เขตขนส่งและกระจายสินค้า เขตคลังสินค้าทันสมัย เขตแปรรูป เขตสินค้าทัณฑ์บนและโลจิกติกส์ และเขตงานบริการ ศูนย์โลจิสติกส์ระบบรางบ่อหาน เฟส 1 มีพื้นที่รวม 476 หมู่ (198.3 ไร่) คาดว่าจะใช้งบประมาณการก่อสร้าง 150 ล้านหยวน โดยจะเน้นทำหน้าที่กักเก็บและขนส่งสินค้าบนเส้นทางรถไฟช่วงบ่อเต็น – เวียงจันทน์ของลาว ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างเขตดำเนินงานเส้นทางรถไฟ (เน้นก่อสร้างสถานที่เก็บวัสดุในเขตดำเนินงานเส้นทางรถไฟ) และเขตขนส่งและกระจายสินค้า
3.) เส้นทางรถไฟแพนเอเชียสายตะวันตก (คุนหมิง – ต้าหลี่ – เป่าซาน - รุ่ยลี่ – พม่า – ไทย – มาเลเซีย – สิงคโปร์) รวมระยะทาง 4,760 ก.ม. และเส้นทางในยูนนานมีรายละเอียดดังนี้
เส้นทาง
|
ระยะทาง
(กิโลเมตร)
|
เริ่มก่อสร้าง
|
คาดว่าสร้างเสร็จ
|
งบประมาณ
(ล้านหยวน)
|
คุนหมิง – ต้าหลี่ 1. คุนหมิง-กว่างทง 2. กว่างทง - ต้าหลี่ |
282
107
175
| - ปรับปรุงและขยายเส้นทาง คาดเสร็จตลาดสาย 2560 - เริ่มก่อสร้าง ต.ค. 2550 คาดแล้วเสร็จปี 2556 (ก่อสร้างไปแล้วร้อยละ 86) - เริ่มก่อสร้างเมื่อปลายปี 2555 คาดแล้วเสร็จ พ.ค. 2560 | ||
ต้าหลี่ - เป่าซาน |
134
|
2551
|
2557
|
14,700
|
เป่าซาน - รุ่ยลี่ |
196
|
2556
|
2559
|
โครงการเส้นทางรถไฟสายต้าหลี่ – รุ่ยลี่ เป็นอีกหนึ่งโครงการตามแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟระยะกลาง-ยาวของจีน และเป็นเส้นทางข้ามชายแดนที่สำคัญอีกหนึ่งเส้นทางของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นสะพานและอุโมงค์ถึงร้อยละ 75 ของระยะทางทั้งหมด และถือเป็นปัญหาสำคัญในการก่อสร้าง การออกแบบความเร็วอยู่ที่ 140 – 200 กม./ชม (เส้นทางจากคุนหมิง - ต้าหลี่ ความเร็วอยู่ที่ 160 – 200 กม./ชม และสามารถรองรับการขนส่งสินค้าได้ปีละ 40 ล้านตัน ในขณะที่ เส้นทางจากต้าหลี่ – เป่าซาน ถูกออกแบบให้มีความเร็วที่ 140 กม./ชม) หากการก่อสร้างเส้นทางสายนี้แล้วเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 12 เที่ยว/วัน รองรับการขนส่งสินค้าโดยเฉลี่ย 12 ล้านตัน/ปี การเดินทางจากต้าหลี่ - รุ่ยลี่จะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงกว่า (จากเดิมใช้เวลา 6 – 7 ช.ม.) และจากคุนหมิง – รุ่ยลี่จะใช้เวลาเดินทาง 9 ช.ม. (เดิมใช้เวลา 13 ช.ม.)
หลังจากการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเมืองรุ่ยลี่(瑞丽)ของมณฑลยูนนานเชื่อมกับ Muse และ Lashio ของพม่าเสร็จสิ้นแล้ว พม่าจึงจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟด่วนจีน - พม่าในลำดับต่อไป โดยเส้นทางรถไฟเมืองรุ่ยลี่ – Muse – Lashio จะสามารถเชื่อมกับกรุงเทพฯ โดยตัดผ่านมัณฑะเลย์ กรุงเนปีดอว์และเมืองพะโค (Bago) เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2554 บริษัทเครือจงสิ้นกรุ๊ปประเทศจีน(中国中信集团公司)กับกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพม่าได้ร่วมกันลงนามข้อตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือด้านโครงการเส้นทางรถไฟและเขตการบุกเบิกพัฒนาเศรษฐกิจเมืองเจียวเพียวพม่า ณ กรุงเนปีดอว์
จากแพนเอเชีย กระโดดไปเป็นรถไฟความเร็วสูง
ปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้านการขนส่งระบบรางที่ก้าวหน้าของจีน (ปัจจุบันรถไฟจีนสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดกว่า 400 กม./ชม.) ทำให้จีนและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม พม่า ลาวและไทย ต่างหันมาให้ความสนใจกับรถไฟความเร็วสูง และเป็นกระแสที่กล่าวกันมากในขณะนี้ ซึ่งโดยปกติรถไฟความเร็วสูงที่สร้างใหม่จะต้องมีความเร็ว 250 กม./ชม. ขึ้นไป แต่หากเป็นการพัฒนาระบบรางเก่า รถไฟความเร็วสูงจะมีความเร็วตั้งแต่ 200 กม./ชม. ขึ้นไป (ในบางประเทศอาจอยู่ที่ความเร็ว 160 กม./ชม. ขึ้นไป) โดยจีนได้วางแผนไว้ว่า จะสร้างเครือข่ายและเชื่อมรถไฟความเร็วสูง 17 ประเทศรอบด้านของจีน 3 เส้นทาง 3 คือ 1) รถไฟความเร็วสูงจีน – เอเชียกลาง 2) รถไฟความเร็วสูงจีน – รัสเซีย และ 3) รถไฟความเร็วสูงจีน – เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศต่าง ๆ โดยจะก่อสร้างให้เสร็จภายในปี 2568 เส้นทางที่กล่าวมาทั้ง 3 เส้นทางนั้น จีนได้วางท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคู่ขนานกันไป ถือเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน โดยจีนได้เข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ สินแร่และป่าไม้ ในประเทศตามเส้นทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นพม่า อิหร่านและรัสเซีย ในรูปของทรัพยากรแลกกับเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง และเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ต่างสามารถใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเข้าประเทศของตน
[3]
รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 17 ประเทศที่จีนได้วางแผนก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 ประกอบด้วย
1. รถไฟความเร็วสูงสายจีน – เอเชียกลาง เริ่มจากอุรุมชี (เขตซินเจียง) – คาซัคสถาน – อุสเบกิสถาน –
เติร์กเมนิสถาน – อิหร่าน – ตุรกี – เยอรมัน
2. รถไฟความเร็วสูงจีน – รัสเซีย เริ่มจากมณฑลเฮยหลงเจียง – รัสเซีย – ยุโรปตะวันตก
3. รถไฟความเร็วสูงจีน – เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากคุนหมิง – (เวียดนาม ลาว และพม่า) – ไทย –
มาเลเซีย - สิงคโปร์
รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 17 ประเทศที่จีนได้วางแผนก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 ประกอบด้วย
1. รถไฟความเร็วสูงสายจีน – เอเชียกลาง เริ่มจากอุรุมชี (เขตซินเจียง) – คาซัคสถาน – อุสเบกิสถาน –
เติร์กเมนิสถาน – อิหร่าน – ตุรกี – เยอรมัน
2. รถไฟความเร็วสูงจีน – รัสเซีย เริ่มจากมณฑลเฮยหลงเจียง – รัสเซีย – ยุโรปตะวันตก
3. รถไฟความเร็วสูงจีน – เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากคุนหมิง – (เวียดนาม ลาว และพม่า) – ไทย –
มาเลเซีย - สิงคโปร์
รถไฟความเร็วสูงจากจีนเชื่อมถึงภูมิภาคอาเซียนดูเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมากและเป็นกระแสที่มาแรง อย่างไรก็ตามรถไฟความเร็วสูงจีน-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงล่าช้ากว่าแผนที่จีนวางไว้ และต่างยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรอง (ผลประโยชน์ต่างฝ่ายไม่ลงตัว) เราคงต้องรอลุ้นกันต่อไป
อุปสรรคต่อมาคือ ขนาดของรางที่ต่างกัน เนื่องจากระบบรางรถไฟในประเทศดังกล่าวข้างต้นส่วนใหญ่เป็นแบบรางแคบ 1 เมตร ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้กับรถไฟจีนที่มีความกว้างของรางมาตรฐาน 1.435 เมตร จำเป็นต้องมีการปรับรางรถไฟกันใหม่ก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนโบกี้ที่ชายแดน ซึ่งจะเป็นภาระและไม่สะดวกอย่างมาก อีกประการคือ ปัญหาหนี้สาธารณะ เพราะการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงมีต้นทุนที่สูง ยิ่งความเร็วสูงมากเท่าไรค่าใช้จ่ายยิ่งแพงเท่านั้น อีกทั้งยังต้องคิดคำนวนด้านความคุ้มค่า ซึ่งโดยปกติ การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงมักใช้เพื่อการโดยสารมากกว่าการขนสินค้า แต่ก็มีข่าวว่า จีนจะตั้งกองทุนช่วยเหลือประเทศอาเซียนในวงเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
ไทยจะได้อะไรจากโครงการรถไฟแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูง
1. เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้แก่คนไทย
การสร้างเส้นทางรถไฟแพนเอเชียเชื่อมจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านไทย ก่อให้เกิดการสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่แรงงานไทยตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง หากโครงการแล้วเสร็จจะส่งผลดีต่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว คนจีนและชาวต่างชาติรวมถึงชาวเอเชียอาคเนย์ด้วยกันจะเข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น เนื่องจากการก่อสร้างรถไฟจะมีสถานีจอดรถ หากมีสถานีจอดใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทยตลอดเส้นทาง ก็จะดึงดูดชาวต่างชาติให้มาท่องเที่ยวมากขึ้น เหตุเพราะความสะดวกสบายนั่นเอง โดยปี 2554 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวม 19.09 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 19.8 และมีรายได้การท่องเที่ยว 734,590 ล้านบาท (ประมาณ 23,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 23.92 ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยชาวมาเลเซียเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยมากที่สุดถึง 2.47 ล้านคน รองลงมาได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย ตามลำดับ โดยนักท่องเที่ยวเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และเกาหลีใต้นิยมเข้ามาท่องเที่ยวไทยและเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2555 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 20.5 – 20.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 – 10 และจะมีชาวจีนเข้าไปท่องเที่ยวในไทยราว 2 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่ไทยราว 60000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ราวร้อยละ 11 – 20 ซึ่งนี่เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น หากเส้นทางรถไฟแพนเอเชียแล้วเสร็จ ผนวกกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการที่บ้านเรามีดีอยู่แล้ว และต่อจากนี้ทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยขยายตัวอย่างมาก และสร้างรายได้ให้แก่คนไทยจำนวนมหาศาล เพราะเนื่องจาก
การติดต่อระหว่างจีน-อินโดจีนมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และโอกาสต่อนักธุรกิจไทย สิ่งสำคัญคือ ทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้และกล้วยไม้สดมายูนนานได้เร็วขึ้น ซึ่งความรวดเร็วจะทำให้สินค้าเกษตรของไทยที่เข้าจีนมีความสดใหม่และมีคุณภาพ นั่นอาจหมายถึงออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. เรียนรู้เทคโนโลยี
ความร่วมมือก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างไทย-จีน จะทำให้เราได้ความรู้ด้านเทคโนโลยีขั้นสูง อุปกรณ์ รวมถึงการยกระดับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง รวมถึงทำให้คนไทยได้ฝึกฝนทักษะและความเชี่ยวชาญเกี่ยวรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน นับเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราจะได้เติบโตและก้าวไปข้างหน้า หลังจากที่รถไฟไทยได้ย้ำอยู่กับที่มาเป็นเวลานาน
3. ขยายฐานการตลาด
ภายในปี 2563 มณฑลยูนนานจะสร้างให้นครคุนหมิงกลายเป็นศูนย์กลางคมนาคมระบบรางที่สำคัญ โดยมีเส้นทางรถไฟด่วนกระจายรอบคุนหมิง มีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากต่างมณฑลรอบทิศทางเข้าสู่คุนหมิง มีเส้นทางระหว่างประเทศเชื่อมสู่กลุ่มประเทศเอเชียอาคเนย์และเอเชียใต้ กลายเป็นศูนย์กลางคมนาคมระบบรางที่สำคัญของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนต่อไป ปัจจุบัน จีนภาคตะวันตกประกอบด้วย 6 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง และ 1 มหานคร จำนวนประชากรประมาณ 370 ล้านคนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีการติดต่อค้าขายกับตลาดโลกมากขึ้น อีกทั้งตามแผนก่อสร้างเครือข่ายรถไฟแห่งชาติของจีนนั้น จะมีการขยายเส้นทางรถไฟเป็นระยะทางไกลถึง 120,000 กิโลเมตรภายในสิ้นปี 2563 และ170,000 กิโลเมตรภายในสิ้นปี 2573 โดยเมื่อก่อสร้างเสร็จ ร้อยละ 60 ของทางรถไฟแดนมังกรจะอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศ ดังนั้น การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เชื่อมเข้ากับจีน โดยเฉพาะมณฑลยูนนาน ซึ่งอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด นับว่าสร้างโอกาสที่ดีให้กับไทยที่จะพัฒนาฐานตลาดขนาดใหญ่ต่อไป นอกจากนี้ จีนและกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนจะเกิดการแลกเปลี่ยนทางการค้าและประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น
4. สร้างโอกาสทางการค้า
มีพ่อค้าชาวเจ้อเจียงคนหนึ่งกล่าวว่า แม้การขนส่งทางทะเลจะถูกกว่าการขนส่งทางบก แต่หากต้องการยึดตลาดสำหรับสินค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย มีสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ออกมาตลอด และอยู่ในความต้องการของลูกค้า ถ้าไม่เปลี่ยนอาจจะตกเทรนด์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ สินค้าประเภทนี้ หากมีการขนส่งที่รวดเร็วอย่างรถไฟความเร็วสูง มือถือรุ่นใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาดก่อนใครก็จะสามารถช่วงชิงการจำหน่ายที่ได้ราคาดีกว่าคนอื่น มือถือรุ่นใหม่ที่ขายก่อนจะมีราคาแพง ผ่านไปไม่เกินสองเดือนราคาจะตกอย่างมาก ดังนั้น การขนส่งที่รวดเร็วย่อมนำมาซึ่งข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะข้อดีของการขนส่งทางรถไฟความเร็วสูงนั้น แม้ต้นทุนจะแพงกว่าทางทะเล แต่รวดเร็วกว่า (รวดเร็วพอ ๆ กับเครื่องบิน โดยเฉพาะในระยะทางไม่เกิน 1,000 กม.) นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจแก่อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับรถไฟ เพลารถ สายเคเบิล เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ
5. การเชื่อมต่อกับนิคมอุตสาหกรรมชายแดนของไทย เพื่อการส่งออกสินค้าและลดต้นทุนค่าขนส่ง
โครงการรถไฟแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูงจากจีน – (พม่า ลาวและเวียดนาม) –ไทย จะสามารถเชื่อมกับนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีเป้าหมายให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ ที่เชื่อมต่อเส้นทางการค้าการขนส่งไปสู่พม่า ลาว และจีน (ยูนนาน) และขณะเดียวกันสามารถเชื่อมกับนิคมอุตสาหกรรมพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี จะเชื่อมต่อกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในฝั่งพม่าได้อีกทาง ซึ่งมุ่งเน้นอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์เช่นกัน โดยท่าเรือน้ำลึกทวายนั้นห่างจากกาญจนบุรีราว 160 กิโลเมตร และหากจากกรุงเทพ 350 กิโลเมตร ซึ่งในอนาคต หากสามารถพัฒนาเส้นทางรถไฟของไทยที่กาญจนบุรีไปเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟของพม่าที่ทวายได้ ก็จะทำให้กลายเป็นเส้นทางหลักของการคมนาคมและขนส่งของทุกประเทศ หากประกอบกับการเชื่อมต่อกับเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม – เมืองเมาะละแหม่ง เมียนมาร์) และระเบียงเศรษฐกิจแนวใต้ (Southern Economic Corridor ระหว่างนครโฮจิมินท์ เวียดนาม – เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งเชื่อมโยงกับเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือใต้ (North-South Economic Corridor ระหว่างนครคุนหมิง – กรุงเทพ) จะส่งผลให้ไทยสามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีศักยภาพในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน รวมทั้งทำให้การขนส่งสินค้าจากทะเลจีนใต้มายังทะเลอันดามัน มีต้นทุนค่าขนส่งถูกลง นอกจากนี้ การเชื่อมโยงการขนส่งจากทะเลอันดามันมาสู่อ่าวไทย ผ่านจากกาญนบุรีไปยังท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี จะช่วยลดค่าขนส่งในระยะยาวด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ไทยต้องเรียนรู้และปรับตัว
1. การแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนจะสูงขึ้นทั้งทางด้านสินค้า บริการและแรงงาน
โครงการรถไฟแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนเข้าด้วยกัน จะทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการมีความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไทยและประเทศข้างเคียงในอาเซียนที่สามารถผลิตสินค้าคล้ายคลึงกันต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกัน บุคคลากรต่างชาติจะไหลเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น เพราะหลังจากนี้จะมีการแลกเปลี่ยนแรงงานฝีมือระหว่างกันอย่างเสรี และจะแย่งชิงงานของคนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับแรงงานจนถึงระดับผู้จัดการ ดังนั้น ธุรกิจไทยจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันหรือมีเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่เข้มข้น และคงต้องปรับตัวกับรับกับรูปแบบการค้าการบริการที่กำลังจะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ ด้านแรงงาน เราจำเป็นต้องเรียนรู้และฝึกฝนฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคนิค ความเชี่ยวชาญ และภาษา เพื่อช่วงชิงในตลาดแรงงานที่เสรี
2. ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยต้องพร้อมรับมือ
เส้นทางแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูงดูเหมือนจะมาในช่วงเดียวกับการเริ่มต้นเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 อย่างประจวบเหมาะ และการเข้าสู่ AEC นั้น มีเงื่อนไขประการหนึ่งที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยต้องตระหนักและเรียนรู้เพื่อรับมือกับเงื่อนไขการเปิดเสรีในธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ (ครอบคลุมถึงบริการขนส่งทางทะเล ถนน ราง อากาศ การจัดส่งพัสดุ การบริการยกขนสินค้าที่ขนส่งทางทะเล บริการโกดังและคลังสินค้า ตัวแทนรับจัดการขนส่งสินค้า บริการบรรจุภัณฑ์ บริการรับจัดการพิธีการศุลกากร) ซึ่งจะอนุญาตให้นักลงทุนสัญชาติอาเซียนเข้ามาถือหุ้นในธุรกิจไทยได้อย่างน้อยร้อยละ 70 ตั้งแต่ปี 2556 และ 100 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ถือเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยต้องเผชิญและต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล เราคงต้องเตรียมพร้อมทั้งทางด้านบุคลากร เทคโนโลยีสารสนเทศและองค์ความรู้ เพื่อต้นทุนที่ต่ำกว่าและคุณภาพที่ดีกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยก็มีโอกาสรุกเข้าไปแย่งส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอาเซียนได้ด้วยระบบเครือข่ายแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงถึงกัน หากเรามีวิสัยทัศน์และมีการปรับตัวที่ดี แต่ท้ายที่สุดแน่นอนว่าผู้บริโภคในประเทศจะมีทางเลือกมากขึ้นเช่นกัน
ข้อแนะนำในการตั้งรับต่อเครือข่ายแพนเอเชียและรถไฟความเร็วสูง
1 ปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ไทย ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะรวมตัวกันและทำงานร่วมกันในระบบห่วงโซ่อุปทาน คือ การพัฒนาการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ทันสมัยมากขึ้นและเป็นสากล ส่งเสริมนวัตกรรมด้าน IT การกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Integrated Logistics Service)
2 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนควรมีการจัดการฝึกอบรมบุคลากรทั้งทางด้านการให้องค์ความรู้ ภาษา ทักษะและการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยกลายเป็นผู้เล่นบนเวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างสง่างาม รวมถึงการส่งเสริมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพราะปัจจัยเหล่านี้จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับสากลได้สำเร็จ นอกจากนี้ รูปแบบการค้าจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่มุ่งขยายธุรกิจด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศเพื่อให้ใกล้กับแหล่งปัจจัยการผลิตราคาถูก แต่ปัจจัยความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการบริการนำส่ง (Delivery Service) คือการเชื่อมโยงการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และบริการส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างตรงตามความต้องการและรวดเร็ว ด้วยระบบเครือข่ายรถไฟที่เชื่อมถึงกัน
22 สิงหาคม 2555
http://www.thaibiz.net/th/news/18864/99/
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุษาคเนย์ คือการแผ่ขยายอำนาจของจีนเข้ามายังดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและประเทศอื่นในทั่วภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลจีนใช้ความเป็น "ชาตินิยม" สร้างสิ่งที่เรียกว่าจีนผู้ยิ่งใหญ่ (Greater China) จีนในที่นี้มิได้หมายถึงคนจีนในแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนจีนโพ้นทะเลทั้งหมด โดยจีนต้องการหลอมรวมคนจีนทั่วโลกเข้าด้วยกัน และผลก็คือการลงทุนระดับมหาศาล คนจีนจากโพ้นทะเล กลับไปสู่จีน ทำให้เศรษฐกิจจีนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

งานสัมมนาที่จัดโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ ITD ภายใต้หัวข้อเรื่อง "มังกรผงาดมุ่งลงใต้ :ไทยควรรุกหรือรับอย่างไร" ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยเรื่อง "พลวัตของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและนัยต่อประเทศไทย" โดยคณะนักวิจัยจากศูนย์อาเซียน-จีนศึกษา นำโดย นายพิษณุ เหรียญมหาสาร หัวหน้าโครงการวิจัย สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
นายพิษณุกล่าวว่า จีนถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญและนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยปี 2556จีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาร์ เป็นอันดับ 2 ในไทย รองจากญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 9 ในเวียดนาม
โดยจีนสามารถรักษาความเป็นคู่ค้าอันดับ 1 กับเวียดนามได้เป็นอย่างดี แม้ว่าทั้งสองชาติจะมีปัญหาเรื่องพรมแดนในทะเลจีนใต้ และจีนยังเป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆของทุกประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงด้วย ผ่านรูปแบบการเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 ของเมียนมาร์ และเวียดนาม
"ปัจจุบันไทยและจีนเสมือนเป็นพระเอกที่คอยตามจีบอีก 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งการผนึกกำลังเป็นประชาคมอาเซียนในปีหน้าเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้าน ไม่ต่างจากจีนเลย" นายพิษณุกล่าว
นอกจากนี้ นักวิจัยอีก 2 ท่าน คือ น.ส.อรสา รัตนอมรภิรมย์ และ น.ส.ณัฐพัชร์ อภิรุ่งเรืองสกุล เผยถึงประโยชน์ร่วมกันของจีนและกลุ่มจีเอ็มเอส คือ 1) การพัฒนาในพื้นที่จีเอ็มเอส ถือเป็นผลประโยชน์ของจีน เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาพื้นที่จีนตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ มณฑลยูนนาน และเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงกว่างซี 2) การเชื่อมโยงกับกลุ่มจีเอ็มเอส ช่วยให้จีนเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งพลังงานใหม่ ๆ เห็นได้จากการสร้างท่อก๊าซและน้ำมันจากเมืองจ้าวผิวในเมียนมาร์ เข้าสู่เมืองรุ่ยลี่ ในมณฑลยูนนาน 3) การเชื่อมต่อกับกลุ่มจีเอ็มเอส ช่วยให้จีนเปิดออกสู่ทะเลผ่านเส้นทางใหม่ได้ เพราะพื้นที่ทางตะวันตกของจีนเป็นพื้นที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และ 4) จีเอ็มเอสสามารถเพิ่มช่องทางการค้าและขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาดในจีนตอนใต้ได้มากขึ้น
การที่จีนมีความสำคัญกับกลุ่มจีเอ็มเอสมากขึ้น นับเป็นทั้งผลดีและผลเสียในคราวเดียวกัน ผลดีก็คือทำให้เกิดการเชื่อมโยงในภูมิภาคมากขึ้น เพราะรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนในการเร่งเดินหน้าโครงการต่าง ๆเช่น โครงข่ายรถไฟสมัยใหม่ ที่รัฐบาลจีนพยายามเจรจากับผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยด้วย แต่ผลเสียคือสินค้าไทยต้องปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด เพื่อเตรียมรับการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกของจีน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่าง ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า การเข้ามามีบทบาทของจีนในอาเซียนอาจสร้างความกังวลในภายภาคหน้า หากอาเซียนไม่เข้มแข็งพอ และปล่อยให้ปัญหาข้อพิพาทวนเวียนอยู่โดยไร้การแก้ไข ท่ามกลางกระแสการเชื่อมโยงและขยายอิทธิพลเหนืออาเซียนของจีนและสหรัฐ บวกกับความขัดแย้งระหว่างจีน-เวียดนามที่ยังไร้ทางออก ปัญหาที่น่าหนักใจในตอนนี้ คือไทยในฐานะประเทศกลางที่เชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายจะผนึกกำลังกับจีนอย่างไร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับภูมิภาคก้าวสู่ระดับการค้าในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันที่ : 3 ธันวาคม 2557
อ้างอิง : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1417416595
วันที่ : 3 ธันวาคม 2557
อ้างอิง : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1417416595
จีนดูดการลงทุนเข้าชายแดนใช้จุดขายสัมพันธ์ 'สัมพันธ์อันดีกับพม่า'
โดย สุทธิดา มะลิแก้ว นุศรา สวัสดิ์สว่าง
จ้าว เปา เฉิง นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 45 จากปักกิ่ง ภายหลังจากที่ได้ เดินทางมาสำรวจธุรกิจตามบริเวณชายแดนแล้วหลาย ๆ เมือง และเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้เข้ามายัง หวั่นติง เมืองเล็ก ๆ ของจีน ที่ตั้งอยุ่บริเวณชายแดน จีน-พม่า และได้เปิดเผย 'ผู้จัดการ' ว่าเมื่อมาเห็นที่นี่ เขาไม่ลังเลเลยที่จะดำเนินธุรกิจของเขาที่เมืองหวั่นติงแห่งนี้
"เมืองนี้อากาศดี มีคนเผ่าไตอาศัยอยู่มาก จิตใจดี และเป็นเมืองเล็ก ๆ น่าอยู่มาก" จ้าว เกริ่น กับ 'ผู้จัดการ'
อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของการเข้ามาอยุ่เพื่อทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจระดับชาติอย่างเขา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัทจินไต ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และมีชื่อเสียงมากทีเดียวในปักกิ่ง
" ปัจจุบันนี้ประเทศจีน ต้องการให้เมืองชายแดน มีการพัฒนามากขึ้น เราเลือกที่หวั่นติงเพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชิดพม่า มีผังเมืองที่ชัดเจน ง่ายแก่การที่เราจะแต่งแต้มลงไป ถ้าลองเปรียบเทียบที่อื่นแล้วเมืองรุ่ยลี่ นั้นก็อาจจะเป็นเมืองชายแดนที่ติดพม่าเหมือนกัน แต่รุ่ยลี่นั้นใหญ่เกินไป และมีอะไรต่าง ๆ อยุ่แล้วมากมาย ไม่เหมาะแก่การเริ่มต้นใหม่ ๆ ส่วนทางด้านเหอโขว่ นั้นติดกับชายแดนเวียดนาม เราไม่ค่อยแน่ใจในทัศนคติของคนเวียดนามว่าจะต้อนรับเรามากแค่ไหน แต่หวั่นติง กับพม่านั้นมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน" จ้าวกล่าว
แผนพัฒนาเมืองที่เขากล่าวถึงก็คือ แผนการสร้างเมืองใหม่ของหวั่นติง ซึ่งทางเมืองหวั่นติงได้เตรียมแผนส่งเสริมการลงทุนโดยการจัดพื้นที่จำนวน 23 ตารางกิโลเมตร ไว้สำหรับสร้างเมืองใหม่ โดยมีผังเมืองที่ชัดเจนว่าส่วนไหนจะเป็นอย่างไร และจัดเขตพิเศษสำหรับการลงทุนต่าง ๆ ไว้ 5 ตารางกิโลเมตร เปิดโอกาสให้นักลงทุน จากทั้งใน และต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยที่ทางบริษัทจินไตของจ้าวนั้น เป็นบริษัทที่ได้เข้ามารับสัมปทานในการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายในเมืองและร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเมืองหวั่นติง จัดการทางด้านส่งเสริมด้านการระดมต่าง ๆ ให้เข้ามาเพื่อที่ว่าแผนการนี้เป็นจริงได้เร็วขึ้น
การเข้ามาของจินไต ที่อาจจะเรียกได้ว่าระดับชาติ นี้ จึงเป็นเสมือนแสงเทียนที่ช่วยจุดประกายความหวังในการพัฒนาเมืองหวั่นติงให้เป็นจริง และหนทางที่จะดึงให้เมืองเล็ก ๆ อย่างหวั่นติงนั้นอยู่ในความสนใจของนักลงทุนในระดับนานาชาติได้มากทีเดียว ทั้งนี้เพราะ บริษัทจินไตนั้นเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักธุรกิจจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และกวางตุ้ง ซึ่งผู้ร่วมทุนนั้นมาจากเมืองสำคัญที่จะสามารถดึงนักลงทุนในแต่ละเมืองเข้ามาและเคยประกอบธุรกิจกับตางชาติมาแล้วมากมาย และนอกจากการทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทจินไต ยังได้ร่วมทุนกับบริษัทต่าง ๆ จากปลายประเทศในเอเชีย อาทิ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ในการประกอบธุรกิจนำเข้าและส่งออก ซึ่งบริษัทร่วมทุนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีธุกริจของตนเองอยู่แล้วยในหลายประเทส เหล่านี้ล้วนเป็นการดึงดูดให้มีนักลงทุนต่าง ๆ ให้หันมาให้ความสนใจหวั่นติง
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของจินไต เองที่ได้ประกาศเรียกร้องความสนใจต่อนักลงทุนทั้งหลายที่ว่าจะทำให้หวั่นติง นั้นเป้นประตูสู่ทะเลใได้ได้ เพื่อว่านักลงทุนทั้งหลายเข้ามาแล้ว จะมองเห็นความก้าวหน้า และ เพื่อที่จะให้เห็นว่า การลงทุนในหวั่นติงนั้นมีอนาคต บริษัทได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 30 ล้านหยวน หรือ90 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาพื้นที่และก่อสร้างเส้นทางสู่พม่า
" ตอนนี้เราตัดถนนจากหวั่นติง ระยะทาง 13 กิดลเมตร เชื่อมเข้ากับเส้นทาง 320 ซึ่งถนนสายนี้จะทำให้เราเข้าไปยังพม่าได้สะดวก" จ้าวกล่าว
นอกจากนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก้ผู้จะเข้ามาลงทุน ประธานบริษัทจินไต ยังพูดถึงความสัมพันธ์ที่มีกับพม่าเป็นอย่างดีว่า " ขิ่น ยุ้นต์ ได้เข้าที่หวั่นติง 2-3 ครั้ง แล้ว และยังเคยมาศึกษาถึงแผนการที่เราทำแล้วด้วย และสถานการณ์ในพม่าปัจจุบันก็เช่นเดียวกันด้วย และสถานการณ์ใหม่ในพม่าปัจจุบันก็คลี่คลายไปเยอะ เชื่อว่าในอนาคตยิ่งจะดีขึ้นไปอีก"
การเข้ามาของจินไต เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการลงทุน ในเมืองชาแดน ของจีน และหวั่นติงก็ไม่ได้เป็นเมืองเดียวที่กำลังปรับปรุง และพยายามระดมเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาประเทศจีน
ในอดีตนั้นเมืองเล็ก ๆ ตามแนวชายแดนนั้นมีความสำคัญเพียงทำการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน หรือเป็นเพียงทางผ่านสู่ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น หรือเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเมือง แต่อาจไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสักเท่าไหร่
แนวคิดเรื่องการะดมการลงทุนจากต่างชาติเกิดขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญแก่เมืองชายเแดน เนื่องจากสามารถทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้มาก ได้แก่ หวั่นติง และรุ่ยลี ( ชายแดนพม่า) และเหอโขว่ ( ชายแดนเวียดนาม) เป็นเขตการค้าชายแดน และในปี 1992 รัฐบาลได้อนุมัติให้เมืองทั้ง 3 เป็นเมืองเปิดทางด้านการค้า และเป็นจุดผ่านแดนระดับชาติ national level port ( ปัจจุบันจุดผ่านแดนระดับชาติในยูนานมี 9 แห่ง)
การประกาศเป็นจุดผ่านแดนระดับชาติแทนที่จะเป็นเพียงเมืองการค้าชายแดนเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้เมืองต่าง ๆ ได้เร่งหาจ้อได้เปรียบของตนออกมาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาให้ได้มากที่สุดเท่ที่จะเป็นไปได้ และได้เกิดความตื่นตัวมากขึ้น มีการแกฉวยเอาการที่เป็นจุดผ่านแดนระดับชาติ รวมทั้งนำเอาการรัฐบาลจันเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีน ได้มาเป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดความสนใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาในเขตของตนเอง
การเปิดเมืองชายแดนต่าง ๆ ขึ้นมานี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นกลยุทธ์ของการระดมการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเมืองต่าง ๆ ของจีน และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาด้านการลงทุน ทั้งนี้ภายหลังจากทีรัฐบาลจีนเริ่มนำระบบเศรษฐกิจการตลาดเข้ามาผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ในปี 2522 และได้เปิดประเทศสู่โลกภายนอก ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจขอประเทศกระเตื้องขึ้นมาก การตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตพิเศษตามแนวชายฝั่ง สามารถดำเนินการไปได้ด้วยดีดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศเขตส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมตามเมืองตาง ๆ เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การส่งเสริมการลงทุนของจีนนี้ สำหรับเมืองที่อยู่ห่างไกลจากส่วนกลางแล้ว จะให้ทุกส่วนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรงทั้งหมด นั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก ส่วนกลางนั้น คงได้แต่ให้นโยบาย ส่วนการดำเนินการหรือภาคปฏิบัตินั้นจึงขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละเมือง ดังนั้นเมืองตาง ๆ จึงพยายามหาจุดขายของตน เพื่อเรียกร้องให้มีการลงทุนเข้ามาในเขตของตนให้มากที่สุด ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความเจริญ และนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการพิสูจน์ให้รัฐบาลกลางได้เห็นว่า เป็นเมืองที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการมีอำนาจต่อรองอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
เมืองหวั่นติง เมืองที่อยู่ภายในเขตการปรกครองเต๋อหง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคุนหมิง อันเมืองหลวงของมณฑลยูนาน 868 กิดลเมตร ที่ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ มีพื้นที่พียง 103 ตารางกิโลเมตร แต่โดยที่มีชายแดนติดกับพม่า จึงได้ใช้ความแตกต่างจากเมืองอื่นอันนี้ เป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุน
" เมืองหวั่นติงของเรานี้ มีชายแดนทั้งสิ้น 28.6 กิโลเมตร แต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างชายแดนไม่เกิน 5 กิโลเมตร อยู่ห่างจากเมือง ลาโชของพม่า เพียง 188 กิโลเมตรเท่านั้น และห่างจากเมืองมัณทะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่าเพียง 584 กิโลเมตร นับว่าเป็นจุดทีสะดวกมากสำหรับการใช้ที่นี่เป็นฐานการผลิต เพื่อการส่งออก" นายหม่า อี้จง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธฺ์ ประจำเมืองหวั่นติง กล่าวกับ " ผู้จัดการ" เป็นการเกริ่นให้ฟังถึงลักษณะทั่วไปของมืองหวั่นเติง
นอกจากนั้น หวั่นติงยังได้อาศัยความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของตนที่เคยเป็นจุดผ่านของเส้นทางสายไหมของตะวันตกเฉียงใต้ และการมีเส้นทางสายพม่า ( Burma Road) ผ่าน แสดงถึงความสามารถในการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่าได้อย่างง่ายดาย มาเป็นจุดที่ทำให้หวั่นติงสามารถดึงดูดการลงทุนในเขตนี้ได้มาก
นายกเทศมนตรีหนุ่มแห่งเมืองหวั่นติง ยังได้กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้หวั่นติงน่าสนใจอีกว่า เมืองหวั่นติงนั้นมีชื่อเสียงทางด้านเป็นเมืองที่มีการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านมาช้านาน
"เรื่องความมีชื่อเสียงนี้ หวั่นติงนั้น มีชื่อเสียงมากว่า หมางซื่อ ที่เป็นเมืองหลวงของเต๋อหงเสียอีก ทั้งนี้ เพราะมีถนนสายเตียน-เมี่ยน ( Burma Road)ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตตั้งแต่ปี 1948 ( 2491) มีสินค้าผ่านเข้า-ออกมากมาย นอกจากนั้น ยังมีสะพานที่เชื่อมต่อกันกับประเทศทีโจว เอิน ไหล ( อดีตนายกรัฐมนตรีจีน) และ อู บา ฉ่วย ( อดีตนายกรัฐมนตรีพม่า) เคยมาข้ามแล้ว"
นอกจากนั้น ด้วยขนาดของเมืองที่เล็กนี่เอง ที่จะทำให้การจัดการต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ในขณะที่ความเป็นเมืองชายแดนติดพม่าที่ใกล้ชิดมาก จนชาวหวั่นติง และชาวจิวกู่ ( เกียวกก) ของพม่าสามารถมองเห็นกันได้จากฝั่งของตนเอง และลักษณะของการค้าขายซึ่งเป็นการค้าชายแดนมายาวนาน ซึ่งสามารถนำไปสู่การขยายเส้นทางการค้าได้รวดเร็วขึ้น
จินไตก็เล้งเห็นถึงจุดที่หวั่นติงได้เปรียบเพราะการที่ติดกับพม่า และสามารถหาทางออกสู่ทะเลได้อย่างไม่ไกลและไม่ลำบากนัก จึงได้พยายามนำข้อได้เปรียบดังกล่าวมาเสนอต่อต่างชาติ รวมทั้งอาศัยจุดขายที่จีนมีความสัมพันธ์อันดีต่อพม่า เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจได้ว่าการลงทุนจะไม่สูญเปล่า
ขณะที่หวั่นติงมีแผนการสร้างเมืองใหม่ รุ่ยลี ซึ่งเป็นเมืองชายแดนอีกเมืองหนึ่งก็เตรียมการเพื่อจะเป็น 'เวินเจิ้นแห่งจีนใต้' เพร้อมชักชวนพม่าให้ตั้งเขตการค้าปลอดภาษีร่วมกัน และยังมีเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมืองที่อยู่ตามชายแดนของมณฑลยูนนานที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ตั้งเขตเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนภายใต้ชื่อ 'เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ' (Econmic cooperation Zone)
รุ่ยลี ได้เตรียมแผนการ เพื่อการดึงดูดการลงทุน โดยการตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจขึ้น 3 เขต ได้แก่เขตพิเศษเจียก้าว เขตร่วมมือเศรษฐกิจชายแดนรุ่ยลี่ และเขตขนถ่ายสินค้าหนงก้าว และยังได้พัฒนาความได้เปรียบบนพื้นฐาน ที่อาศัยความสัมพันธ์อันดีกับพม่า คือได้ริเริ่มที่จะร่วมกันจัดตั้งเขตปลอดภาษีร่วมกับพม่า เขตการค้าปลอดภาษีดังกล่าวจะตั้งอยู่บนเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจเจียก้าว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองรุ่ยลี 4 กิโลเมตร และอยู่ติดกับเมืองมูเซของพม่า โดยพื้นที่ในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจเจียก้าวมีเนื้อที่ 6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการส่งเสริมการลงทุน และในบริเวณเดียวกันนี้บนพื้นที่ 1.9 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่ติดกับดินแพนของพม่าจะตั้งเป็นเขตการค้าปลอดภาษี
"ในขณะที่มณฑลของเรามีนโยบายความร่วมมือกับต่างประเทศเรื่องสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทางเมืองลุ่ยลี่เองเราก็มีนโยบายเช่นกัน เป็นการร่วมมือกับพม่าโดยเราจะตั้งเป็นเขตการค้าเสรีหรือเขตปลอดภาษีขึ้น เราได้คุยกับทางพม่าแล้ว เขาก็เห็นพ้องว่าจะทำเช่นเดียวกับในฝั่งเขาด้วย ดังนั้นในบริเวณนี้ก็กลาย เป็นเขตปลอดภาษีทั้งสองฝั่งซึ่งหากโครงการสำเร็จผมคิดว่า รุ่ยลี่ ก็คลจะกลายเป็นเซินเจิ้นแห่งที่ 2 ของจีนขึ้นมาก็ได้ และเราก็หวังว่าจะให้แล้วเสร็จภายในทศวรรษนี้" เหยียน ปัน ผู้อำนวยการสำนักวานการค้าชายแดน ประจำเมืองรุ่ยลี่ มณฑลยูนนาน เปิดเผย ' ผู้จัดการ'
และเมือเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย เอดีบี ได้แสดงความเห็นชอบแล้วที่จะให้เงินช่วยเหลือ 20,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อทำกรศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการเขตการค้าปลอดภาษีดังกล่าว
จนถึงปัจจุบันทางจีนและพม่าได้ร่วมมือกันสร้างถนนในบริเวณพื้นที่ของทั้งสองประเทศชื่อ ถนนจีน-พม่า หรือ จงเหมี่ยน เจี่ย และจะสร้างศูนย์แสดงสินค้า และร้านค้าปลอดภาษีตามแนวถนนสายนี้ทั้งสองฝั่ง
รุ่ยลี่ เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขตการปกครองของตนเอง ชนชนติไตและจิ่งโพเต๋อหง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลยูนาน เป้เมืองที่มีชายแดนติดต่อกับพม่า เช่นเดียวกันกับหวั่นติง แต่รุ่ยลี่ นั้นเป็นเมืองที่ใหญ่กว่ามาก กล่าวคือ มีพื้นที่ถึง 960 ตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวของเส้นชายแดนถึง 140 กิโลเมตร และเป็นเมืองทีมีปริมาณการค้าชายแดนมากถึง 2 ใน 3 ของปริมาณการค้าชายแดนของมณฑล
ผู้อำนวยการค้าชายแดนยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการว่า สำหรับการลงทุน ในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจนี้มีพื้นที่ประมาณ80% ได้ถุกจับจองเพื่อการลงทุนประเภทต่าง เรียบร้อยแล้ว
"ตอนนี้เราได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่และได้เริ่มสร้างอาคาร้านค้าตาง ๆ ไปบ้างแล้ว เพื่อรองรับสินค้า ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของพม่าเองก็ได้เริ่มทำไปบ้างแล้วเช่น เดียวกัน" นายเหยียน ปัน กล่าว
แม้ว่าหวั่นติง และลุ่ยลี่ นั้น ต่างก็เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจตเดียวกัน และยังมีชายแดนที่ติดต่อกับพม่าเหมือนกัน แต่ทั้งสองเมืองก็พยายามแข่งขันกันที่จะหาจุดขายต่าง ๆ ที่เป็นการดึงดุดทุนเข้าสู่เมืองของตนดองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และจุดหนึ่งที่สองเมืองจะต้องนำมานำเสนอและขาดไม่ได้ก็คือ ความสัมพันธ์กับพม่าความใกล้ชิดกับพม่าทีเมืองอื่นไม่มี
ทางชายแดนด้านอื่น คือ ทางเวียดนามเมืองเหอโขว่ นั้น ก็พยายามที่จะหาจุดขายที่เป็นหนทางออกสู่ทะเลที่ใกล้และสะดวกที่สุด กล่าวคือ ที่นั่นมีรถไฟสามารถเดินทางไปถึงท่าเรือไฮฟอง ของเวียดนาม โดยระยะทาางจากเหอโข่วถึงเมือง ไฮฟองเพียง 389 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังไม่เปิดใช้
และที่เหอโข่ว เองก็มีเจตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมการลงทุนเช่นเดียวกันกับที่อื่น ๆ ที่เป็นเมืองชายแดน แต่ก็ไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ ทั้งนั้นเพราะนักลงทุนไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับเวียดนาม นั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด แม้ว่ารัฐบาลทั้ง 2 ประเทศพยายามที่จะลืมความขมขื่นในอดีตกันอยู่ และหันมาสานสัมพันธ์กันใหม่แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานในการเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนของทั้งสองประเทศ
ส่วนชายแดนด้านลาว อาจจะไม่มีปัญหาความสัมพันธ์มากนัก แต่ลาวนั้นเป็นประเทศเล็ก และไม่มีทางออกสู่ทะเล ถึงแม้ปัจจุบันจะมีโครงการขอความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาค 6 ประเทศ ที่จะให้มีการสร้างเส้นทางรถไฟคุนหมิง-หนองคาย โดยผ่านลาว แต่นั่นก็เพิ่งจะเริ่มมีการสำรวจ และยังต้องใช้เวลาอีกนาน เกี่ยวกับเรื่อง เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ( Economic Cooperatin Zone) นั้น แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจไทยในเมืองคุนหมิงเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่ายังมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษกับเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ก้อาจจะเกิดปัญหาในภายหลังได้
"คือแต่ละเมืองนั้นพยายามดึงสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษออกมา ใช้เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ หรือเครื่องจักร ที่นำมาใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกและสิทธิในการใช้ที่ดินที่มีระยะเวลานานที่สุดก็๕ือ 70 ปี แต่คราวนี้พวกระเบียบการลงทุนต่าง ๆ นั้นยังไม่เหมือนกันเสียทีเดียว จริง ๆ แล้วเขตร่วมมือทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเขตส่งเสริมการลงทุนระดับมณฑลไม่ใช่ระดับชาติ ซึ่งการลงทุนในระดับมณฑลนั้นหากการลงทุนไม่เกิน 30 ล้านเหรียญ สหรัฐ ผู้ว่าราชการมณฑลมีสิทธิที่จะอนุมัติได้เลย แต่ถ้ามากว่านี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการลงทุนในเขตส่งเสริมการลงทุน หรือเขตร่วมมือทางเศรษฐกิจก็ตามยังคงต้องส่งเรื่องให้รัฐบาบกลางพิจารณาอยู่ดี รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องสิทธิพิเศษต่าง ๆ ด้วย ซึ่งทำแบบ case by case อาจเสียเวลาไปได้บ้างเหมือนกัน" แหล่งข่าวกล่าว
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น